กลุ่มบริษัท บี ปิโตรไทย ผู้นำธุรกิจบริการวิศวกรรม ร่วมฉลองวันสิ่งแวดล้อมไทย 4 ธันวาคม นำเทคโนโลยีหอเผาระดับพื้นดินแบบปิด (Enclosed Ground Flare หรือ EGF) ช่วยให้อุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีไทยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดูแลชุมชนรอบข้าง พร้อมเดินหน้ามุ่งสู่ Net Zero

หอเผาทิ้งเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่อุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีใช้เป็นมาตรฐานในการกำจัดก๊าซเหลือทิ้ง หรือก๊าซที่ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างปลอดภัย ช่วยลดปริมาณสารเคมีอันตรายที่ปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศที่อาจส่งผลให้เกิดภาวะเรือนกระจกหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพของชุมชนใกล้เคียง เป็นหนึ่งในแนวทางจัดการสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานสากลของอุตสาหกรรม อย่างไรก็ดี หอเผาทิ้งแบบ Elevated Flare ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มีลักษณะเป็นปล่องสูง เปลวและควันจากการเผาทิ้งก๊าซจะปรากฎให้เห็นที่ปากปล่อง ซึ่งสร้างความกังวล และความรำคาญจากแสงรบกวนให้แก่ชุมชนโดยรอบ
หอเผาระดับพื้นดินแบบปิด (EGF) ที่กลุ่มบริษัท บี ปิโตรไทยนำมาติดตั้งให้แก่ลูกค้า เป็นเทคโนโลยีล่าสุดจาก John Zink หนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีการเผาไหม้ ที่ตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีจุดเด่น 4 ด้านหลัก ได้แก่ ไม่มีควันดำปรากฎให้เห็น 100% ไม่มีเปลวไฟออกจากปล่อง ไม่สร้างมลภาวะทางแสงวูบวาบทั้งกลางวันและกลางคืน และไม่มีเสียงรบกวน รวมถึงลดการสั่นสะเทือนขณะเผาไหม้
จุดเด่นทั้ง 4 ข้อนี้ ทำให้เทคโนโลยี EGF ช่วยให้อุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชนได้มากยิ่งขึ้น ลดความกังวลเรื่องฝุ่น PM2.5 ขับเคลื่อนการดำเนินการสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์หรือ Net Zero รวมถึงการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของแต่ละองค์กร

นายตาม จำนงค์อาษา Managing Partner กลุ่มบริษัท บี ปิโตรไทย กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 45 ปีที่ผ่านมา กลุ่มบริษัท บี ปิโตรไทย สนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานของไทย โดยสรรหาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ เปี่ยมนวัตกรรมมาช่วยยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศ ตามเจตจำนงของบริษัทที่จะเป็นพันธมิตรด้านนวัตกรรมเพื่อธุรกิจพลังงานไทย การนำเทคโนโลยี EGF มาใช้ เป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญของเราที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมพลังงานของไทยพัฒนาไปอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคม และการเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อให้ธุรกิจมีความยั่งยืน”
กลุ่มบริษัท บี ปิโตรไทย พร้อมด้วยพันธมิตรได้จัดหาและนำเสนออุปกรณ์ EGF ให้แก่บริษัทปิโตรเลียมและปิโตรเคมีชั้นนำของไทยมาตั้งแต่ปี 2560 ล่าสุด ได้ติดตั้งให้แก่สถานีแอลเอ็นจี มาบตาพุด แห่งที่ 1 (LMPT1) จ. ระยอง ของบริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด ที่ดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดใช้งานเมื่อเร็วๆ นี้
นายตาม กล่าวเสริมว่า การเปลี่ยนมาใช้ EGF เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี เนื่องจากมีข้อกำหนดด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อม และความเร่งด่วนของทุกภาคส่วนในการร่วมมือกันชะลอหรือลดผลกระทบจากการดำเนินงานที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและภาวะโลกร้อน แม้ว่าการเปลี่ยนมาใช้ EGF อาจต้องใช้เวลาในการศึกษาและเตรียมการ แต่นับเป็นเรื่องสำคัญที่ควรเร่งดำเนินการ
กลุ่มบริษัท บี ปิโตรไทย มีความพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสู่ความยั่งยืน ด้วยประสบการณ์และคุณค่าทางวิศวกรรม (Value Engineering) ที่กลุ่มบริษัทฯ สะสมมาตลอดกว่า 45 ปี ทำให้สามารถนำเสนอโซลูชั่นที่ใช้งานได้จริง ในงบประมาณที่เหมาะสมและควบคุมได้ มีทีมวิศวกรที่มีความรู้ความชำนาญสามารถวางแผนและดำเนินการติดตั้ง EGF ให้สอดคล้องกับความต้องการหรือข้อจำกัดของแต่ละโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการมีพันธมิตรที่ครบวงจรตั้งแต่เจ้าของเทคโนโลยีชั้นนำในต่างประเทศ ผู้รับเหมาท้องถิ่นที่มีประสบการณ์ ตลอดจนซัพพลายเออร์ที่วางใจได้ ทำให้สามารถส่งมอบโซลูชั่นที่ตรงโจทย์ ครอบคลุมทุกรายละเอียดที่ลูกค้าต้องการ และจบงานได้ในระยะเวลาที่กำหนด
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัท บี ปิโตรไทย ยังมีซอฟต์แวร์พิเศษที่พัฒนาขึ้นเอง ได้แก่ “boonma” ซึ่งเป็นระบบฐานข้อมูลทางวิศวกรรม ครอบคลุมการดูแลอุปกรณ์ตั้งแต่ชิ้นเล็กสุดไปจนการเชื่อมต่อระบบอุปกรณ์ทั้งโรงงาน ทำให้สามารถติดตามและตรวจสอบการใช้งานของอุปกรณ์ได้ทั้งระบบ ขณะเดียวกันลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้อย่างรวดเร็ว มีความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน
นายตาม กล่าวเสริมว่า “กลุ่มบริษัท บี ปิโตรไทย ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับการดูแลลูกค้าในฐานะที่เป็นพันธมิตรกับเรา เพราะตระหนักว่าการผลิตที่มีความต่อเนื่อง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมพลังงานซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เราพร้อมที่จะให้คำแนะนำ เป็นพันธมิตรตั้งแต่การศึกษาความเป็นไปได้จนถึงการติดตั้ง EGF จนสมบูรณ์ เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีของไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้ในอนาคต”