กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดนักลงทุนยื่นสำรวจแหล่งก๊าซ และผลิตปิโตรเลียม ในอ่าวไทย 3 แหล่งใหญ่ คาดเงินลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท

09 กุมภาพันธ์ 2565 20.09 น.
อ่าน 1,941 ครั้ง
 
กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเผยแผนงาน ปี 65 เตรียมเปิดยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ กำกับดูแลการดำเนินงานช่วงเปลี่ยนผ่านแหล่งเอราวัณผลิตก๊าซต่อเนื่อง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

 
กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ชี้ทิศทางการดำเนินงาน ปี 65 เปิดให้ยื่นสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบที่ 24 จำนวน 3 แปลงในอ่าวไทย คาดมีเม็ดเงินลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท รวมทั้งผลักดันการดำเนินงานช่วงเปลี่ยนผ่านของแปลง G1/61 และ G2/61 ให้สามารถผลิตก๊าซธรรมชาติต่อเนื่อง
 
 
นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า ในปี 2565 นี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจด้านการกำกับดูแล และส่งเสริมการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน มีแผนในการเตรียมเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รอบที่ 24 จำนวน 3 แปลงในทะเลอ่าวไทย ภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ประกอบด้วย
 
 
1) แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/65 มีพื้นที่รวม 8,487.20 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็น 2 พื้นที่ คือ พื้นที่ A จำนวน 8,298.49 ตารางกิโลเมตร และพื้นที่ B จำนวน 188.71 ตารางกิโลเมตร
2) แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G2/65 มีพื้นที่รวม 15,030.14 ตารางกิโลเมตร และ
3) แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G3/65 มีพื้นที่รวม 11,646.67 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็น 2 พื้นที่ คือ พื้นที่ A จำนวน 11,028.22 ตารางกิโลเมตร และพื้นที่ B จำนวน 618.45 ตารางกิโลเมตร
 
 
สำหรับการดำเนินงานในช่วงเปลี่ยนผ่านของแปลง G1/61 หรือแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณนั้น กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้ประสานการเจรจาระหว่างบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ในฐานะผู้รับสัมปทานรายเดิม และบริษัท ปตท.สผ.เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด หรือ ปตท.สผ. อีดี ในฐานะผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) มาโดยตลอด
 
ในเรื่องการดำเนินงานช่วงเปลี่ยนผ่าน (Transition Period) ซึ่งมีรายละเอียดทั้งการเข้าพื้นที่ของแหล่งเอราวัณก่อนจะสิ้นอายุสัมปทาน และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การบริหารพลังงานของประเทศเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชน

อย่างไรก็ดี ในส่วนของการเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบที่ 24 ในทะเลอ่าวไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างการนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในการออกประกาศเชิญชวนให้ยื่นขอสิทธิฯ ซึ่งกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติคาดหวังว่าพื้นที่แปลงสำรวจและผลิตดังกล่าวจะเข้ามาช่วยเพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่ปัจจุบันจะเริ่มมีปริมาณ น้อยลงไปเรื่อย ๆ
 

ขณะเดียวกันเป็นการสนับสนุนให้เกิดการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คาดว่าการเปิดให้ยื่นขอสิทธิฯ ครั้งนี้ จะมีการลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท และยังช่วยเพิ่มรายได้ให้ภาครัฐ และทดแทนการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศได้ ส่วนในด้านการเปลี่ยนผ่านการดำเนินงานของแปลง G1/61 หรือแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณนั้น ปัจจุบัน บริษัท ปตท.สผ. อีดี และ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือต่าง ๆ ในช่วงเปลี่ยนผ่านของแหล่งก๊าซธรรมชาติกลุ่มเอราวัณ ซึ่งจะทำให้การดำเนินการตามสัญญาแบ่งปันผลผลิตในโครงการแปลง G1/61 เดินหน้าต่อไป โดยหลังจากนี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ  บริษัทผู้รับสัมปทานรายเดิม และคู่สัญญารายใหม่จะดำเนินการเข้าตรวจสอบการผลิตก๊าซธรรมชาติในแปลงดังกล่าว เพื่อวางแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติต่อไปหลังจากสิ้นสุดสัมปทานในเดือนเมษายน 2565

 

 

อีกทั้งเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยใช้ระบบ PSC ในการบริหารจัดการแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมของประเทศ ซึ่งนับเป็นความท้าทายของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติในการดำเนินงาน โดยกรมฯ ได้เตรียมความพร้อมทั้งด้านการปรับโครงสร้างหน่วยงาน ด้วยการตั้งกองบริหารสัญญา และบรรจุบุคลากรเพิ่ม เพื่อรองรับภารกิจดังกล่าวด้วย” นายสราวุธกล่าว

 

นอกจากนั้น กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ยังเตรียมความพร้อมในการสนับสนุนนโยบายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ รวมถึงการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการค้าในอนาคต เพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ โดยการร่วมมือกับบริษัทผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เริ่มทำการศึกษาและทดลองใช้เทคโนโลยี Carbon Capture and Storage (CCS)

 

 

ซึ่งเป็นเทคโนโลยี ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลในการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการประกอบกิจการต่าง ๆ  เช่น การสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ลงไปเก็บในชั้นหินใต้ดินในระดับความลึกที่มีความเหมาะสมในการกักเก็บ CO2 อย่างปลอดภัย เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีการปล่อย CO2 ในปริมาณมากเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งนับเป็นหนึ่งในมาตรการที่จะสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถมุ่งสู่พลังงานสะอาดได้

 

 

ทั้งนี้ ในปี 2564 ที่ผ่านมา กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ สามารถนำส่งรายได้เข้ารัฐในรูปแบบค่าภาคหลวง ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ รายได้จากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย และรายได้อื่น ๆ เช่น ค่าตอบแทนการต่อระยะเวลาผลิต ได้จำนวน 53,637 ล้านบาท ในส่วนของภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ที่จัดเก็บโดยกระทรวงการคลัง เป็นจำนวน 49,948 ล้านบาท

- Advertisement -
- Advertisement -

RELATED

- Advertisement -
- Advertisement -
- Advertisement -
- Advertisement -
- Advertisement -

Lasted

  • คณะผู้บริหารกลุ่มบ้านปูร่วมเวทีเสวนา Enlit Asia 2025 ตอกย้ำวิสัยทัศน์การสร้างพลังงานที่สมดุล
    12 ก.ย. 2568 08.07 น.
  • กฟผ. ร่วมเป็นเจ้าภาพสุดยอดงานประชุมและนิทรรศการด้านพลังงาน Enlit Asia 2025
    12 ก.ย. 2568 07.40 น.
  • WHA Group เดินหน้าสร้างสถิติ All-Time High ต่อเนื่องปีที่ 4
    11 ก.ย. 2568 15.43 น.
  • กนอ. จับมือ ส.อ.ท. เดินหน้ายกระดับการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย เสริมศักยภาพอุตสาหกรรมไทย สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
    10 ก.ย. 2568 12.40 น.
  • BAFS จับมือ พระจอมเกล้าลาดกระบัง ต่อยอดงานวิจัย สนับสนุนการสร้างนวัตกรรมเพื่ออนาคต
    10 ก.ย. 2568 10.15 น.

Most Viewed

  • "อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์" คว้าสุดยอดผู้นำองค์กรแห่งปี
    20 มิ.ย. 2566 21.47 น.
  • 54 ปี กฟผ. เดินหน้าผลิตไฟฟ้าสีเขียว รุกขยายโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดในเขื่อน
    01 พ.ค. 2566 09.50 น.
  • ‘ผลิต-ไฟฟ้าลาว’ มั่นใจผลงานปีนี้เติบโตเด่น รับดีมานด์ความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคเพิ่ม
    03 พ.ค. 2566 13.56 น.
  • แม่ฮ่องสอน..สู่เมืองท่องเที่ยวสีเขียว ชู "โซลาร์ฟาร์มสมาร์ทกริด" พร้อมจ่ายไฟเชิงพาณิชย์แล้ววันนี้
    25 พ.ค. 2566 17.14 น.
  • 3 การไฟฟ้าจัดใหญ่ ครั้งแรกของโชว์สุดยอดนวัตกรรม ตอบโจทย์ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้า
    12 มิ.ย. 2566 17.47 น.